เอชไอวี ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องลง ร่างกายก็จะมีโอกาสติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น หากไม่ได้รับการรักษา เอชไอวีจะเข้าสู่ระยะเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ผู้ป่วยจึงมีโอกาสติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่าย และรุนแรงมากขึ้น โรคเอดส์เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก
เอชไอวี ติดต่อกันได้อย่างไร?
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เป็นช่องทางการติดต่อเอชไอวีที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ หรือน้ำหล่อลื่นในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปากก็ตาม
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในการฉีดยาเข้าเส้นเลือด หรือการใช้เข็มฉีดยาในการเจาะหู เจาะจมูก เจาะสะดือ หรือเจาะผิวหนังเพื่อใส่เครื่องประดับ โดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ สามารถทำให้เชื้อเอชไอวีติดต่อได้
จากมารดาสู่ลูก เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อจากมารดาสู่ลูกได้ตั้งแต่การตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และขณะให้นม หากมารดาติดเชื้อเอชไอวี ทารกมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึงร้อยละ 30-40 จากการวิจัยพบว่า หากมารดาติดเชื้อเอชไอวีแต่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ทารกมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้เพียงร้อยละ 2-4 เท่านั้น
เอชไอวี อาการเป็นอย่างไร?
อาการของการติดเชื้อเอชไอวีสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะเฉียบพลัน
ระยะนี้มักเกิดขึ้นภายใน 2 - 6 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ โดยผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่น และปวดหัว อาการเหล่านี้มักเป็นอยู่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ แล้วหายไปเอง
ระยะแฝง
ระยะนี้มักเกิดขึ้นหลังจากระยะเฉียบพลัน โดยผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี ผู้ป่วยอาจยังคงมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย แต่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังสามารถควบคุมเชื้อไว้ได้
ระยะเอดส์
ระยะนี้มักเกิดขึ้นหลังจากระยะแฝงนานหลายปี โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะไม่สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีไว้ได้อีก ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่าย และรุนแรงมากขึ้น อาการของระยะเอดส์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ความรุนแรงของการติดเชื้อเอชไอวี และชนิดของโรคแทรกซ้อนที่ผู้ป่วยเป็น
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเอชไอวีที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ สามารถควบคุมปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เช่นเดียวกับคนทั่วไป
การวินิจฉัยเอชไอวี
การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี สามารถทำได้โดยการตรวจเลือด โดยวิธีการตรวจเอชไอวีในปัจจุบัน มี 5 แบบ ได้แก่
HIV p24 antigen testing.
Anti-HIV testing.
HIV Ag/Ab combination assay.
Nucleic Acid Test (NAT)
HIV self test
แต่การตรวจที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การตรวจแบบหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti - HIV test) เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็ว โดยสามารถตรวจได้ตั้งแต่ 2 - 3 สัปดาห์ หลังสัมผัสเชื้อ อย่างไรก็ตาม การตรวจประเภทนี้อาจให้ผลลบในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก เนื่องจากร่างกายยังไม่สามารถสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวีได้ จึงควรตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากนั้น 3 เดือน
ใครที่ควร ตรวจเอชไอวี
โดยทั่วไปแล้ว ทุกคนควรตรวจเอชไอวีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความเสี่ยง
ผู้ติดสารเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
ผู้ที่มีประวัติสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งจากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ภาวะแทรกซ้อนของผู้ติดเชื้อ เอชไอวี
เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้น ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่
การติดเชื้อฉวยโอกาส หมายถึง การติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตัวอย่างของการติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อย ได้แก่
วัณโรค
โรคปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งทวารหนัก
โรคทางระบบประสาท การติดเชื้อเอชไอวีอาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อ่อนแรง ชา กล้ามเนื้อกระตุก ภาวะสมองเสื่อม
โรคทางระบบอื่นๆ การติดเชื้อเอชไอวีอาจส่งผลต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคตับ โรคไต
ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน จะขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยที่มีระดับภูมิคุ้มกันต่ำจะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่า ผู้ป่วยที่มีระดับภูมิคุ้มกันสูง
การรักษาเอชไอวี
การรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน เป็นการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (antiretroviral therapy หรือ ART) ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด โดยยาต้านไวรัสจะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ทำให้จำนวนเชื้อในร่างกายลดลง ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง จะมีระดับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงใกล้เคียงกับคนปกติ
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ควรเริ่มต้นโดยเร็วที่สุดหลังทราบผลว่าติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากการรักษาที่เร็วจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพดี และมีชีวิตที่ยืนยาว นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่น ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฉวยโอกาส ลดความเสี่ยงในการพัฒนาสู่ระยะเอดส์
นอกจากการรักษาด้วยยาต้านไวรัสแล้ว ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรดูแลสุขภาพตนเองอย่างเหมาะสม โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอื่น ๆ
การป้องกันเอชไอวี
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเอชไอวี คือ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายได้ประมาณ 99% หากใช้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังมีวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอื่น ๆ ดังนี้
ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
หลีกเลี่ยงการเปลี่ยคู่นอนบ่อย
หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งจากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
พิจารณายาเพร็พ (PrEP) ยาต้านไวรัสเอชไอวี ก่อนสัมผัสเชื้อ
ตรวจเอชไอวีเป็นประจำ
ตรวจเอชไอวี รักษาเอชไอวี เชียงใหม่
สำหรับท่านไหนที่ต้องการ ตรวจเอชไอวี รักษาเอชไอวี ในจังหวัดเชียงใหม่ ขอแนะนำ ฮักษาเมดิคอลคลินิก สาขากลางเวียง เชียงใหม่ ที่ให้บริการโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเอชไอวี รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพื่อให้ชาวเชียงใหม่ได้เข้าถึงการตรวจเอชไอวี การรักษาเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ ทุกข้อมูลส่วนตัว จะเป็นความลับอย่างแน่นอน
ติดต่อเราได้ที่
ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่
ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่
เปิดบริการทุกวัน
จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.
สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)
เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988
แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share
จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดจากการติดเชื้อเอชไอวี แต่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้ด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้น หากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อเอชไอวี ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาอย่างเหมาะสม
Comments